News Wave • สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป แตกไลน์ ” แอนิเทค แล็บพลัส ซีรีส์ ” เปลี่ยนวิกฤตโควิด-19 เป็นโอกาสทางธุรกิจ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย แบรนด์แรกของไทย
ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้การดำเนินอยู่ของชีวิตประจำวันต้องปรับเปลี่ยนสู่ยุควิถีชีวิตใหม่ หรือ นิวนอร์มอล ( New Normal) ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค และทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนและพลิกวิกฤตเป็นโอกาส
โธมัส พิชเยนทร์ หงษ์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลให้เกิดความต้องการของกลุ่มธุรกิจด้านสุขอนามัย และความต้องการสินค้าที่ตอบโจทย์ความเชื่อใจ ความมั่นใจของคุณภาพสินค้า โดยผู้บริโภคต้องการสินค้าจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้ ซึ่งสอดคล้องกับเมกะเทรนด์ของโลก ที่กลุ่มธุรกิจ health and wellness เป็นกลุ่มที่จะกระตุ้นความต้องการผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น
บริษัทจึงได้เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้แบรนด์ “ แอนิเทค แล็บพลัส ซีรีส์ (anitech LAB+SERIES) “เพื่อสร้างความหลากหลายและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคด้วยสินค้าด้านสุขอนามัยที่ผ่านกระบวนการวิจัยและพัฒนา มีการทดสอบจากสถาบันชั้นนำจากทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งนี้ แอนิเทค แล็บพลัส ซีรีส์ ถือเป็นแบรนด์แรกของไทยที่พัฒนากลุ่มสินค้าเพื่อสุขอนามัย โดยครอบคลุมผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลและครัวเรือน (Personal and Home care) เช่น น้ำยาฆ่าเชื้อโรค น้ำยากำจัดไรฝุ่น
กลุ่มอุปกรณ์ดูแลสุขอนามัยและสุขภาพ (Health and Hygiene devices) เช่น เครื่องทำน้ำยาอิเลคโทรไลต์ และกลุ่มอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment :PPE) เช่น หน้ากาก KN95 นวัตกรรมหน้ากากปกป้องละอองฝอย และเป็นแบรนด์เดียวที่รับประกันความเสียหายสูงสุด 50,000 บาทต่อทั้งร่างกายและทรัพย์สินในทุกตัวสินค้า
เมื่อพิจารณาถึงตัวเลขสัดส่วนตลาดของสินค้ากลุ่มสุขอนามัยส่วนบุคคลและครัวเรือน ปี 2563 จะพบว่าในประเทศไทยมีมูลค่าราว 1.72 หมื่นล้านบาท เติบโตกว่า 5% ต่อปี สินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment :PPE) อยู่ที่ 1.77 ล้านล้านบาท เติบโตราว 7.4% ต่อปี
“ การแตกไลน์ธุรกิจ แล็บพลัส ซีรีส์จะช่วยลดผลกระทบที่เกิดกับธุรกิจในช่วงโควิด-19 และเชื่อว่าจะช่วยเสริมแกร่งธุรกิจของบริษัทในปีนี้ โดยปัจจุบันที่เริ่มจำหน่ายสินค้ากลุ่มนี้มียอดขายรวมแล้วกว่า 30 ล้านบาท และมั่นใจว่าสิ้นปี 2563 นี้จะสามารถปิดยอดขายกลุ่มสินค้าใหม่ได้ไม่ต่ำกว่า 45 ล้านบาท หรือ 13% ของยอดขายรวม ”
ทั้งนี้ ในปี 2564 บริษัทเตรียมใช้งบการตลาดไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ผลักดันการเติบโตของแอนิเทค แล็บพลัส ซีรีส์ เน้นการสื่อสารการตลาดครบวงจร พร้อมจัดกิจกรรมส่งเสริมการผ่านช่องทางจัดจำหน่ายทั่วประเทศทั้งออฟไลน์และออนไลน์
สำหรับเป้าหมายระยะกลางบริษัทตั้งเป้าเป็นเบอร์ 1 ของแบรนด์กลุ่มสินค้าเพื่อสุขอนามัยภายในปี 2565 และมียอดขายแตะ 100 ล้านบาท และมียอดขายในประเทศ CLMV ราว 20% ส่วนในอีก 5 ปีตั้งเป้ายอดขายสินค้ากลุ่มนี้อยู่ที่ 240-250 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30% ของผลประกอบการรวม
“ แอนิแทคต้องการเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนในการสร้างความเปลี่ยนแปลงของสังคม และยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อเป็นแบรนด์ที่อยู่รอบตัวในชีวิตประจำวันและตอบสนองไลฟสไตล์ของผู้คน โดยเราเป็นแบรนด์ที่มีสินค้าครบต่อความต้องการ หรือเรียกได้ว่า เป็น One stop shopping ”
โธมัส พิชเยนทร์ กล่าวต่อว่า การแข่งขันของธุรกิจสุขอนามัยไม่รุนแรงจนถึงต้องหั่นราคาลง เนื่องจากในไทยยังเป็นการนำเข้าสินค้า และหลายแบรนด์ยังไม่ได้จัดการเรื่องใบอนุญาตและมาตรฐานที่รับรองต่างๆ ซึ่งถือเป็นโอกาสในการเติบโตของแอนิเทค แล็บพลัส ซีรีส์
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนวิจัยและพัฒนาธุรกิจ Internet of Things (IoT) ที่จะกลายเป็นไลฟสไตล์หลักของผู้คน ซึ่งในปี 2564 หากเทคโนโลยี 5G มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น บริษัทก็เตรียมออกผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการ